ต่างจากตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ไม่มีศูนย์กลางหรือกระดานซื้อขายแบบดั้งเดิม แต่ดำเนินการแบบกระจายศูนย์ และเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านศูนย์การเงินหลักทั่วโลก เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว และซิดนีย์
พูดง่ายๆ คือ คุณซื้อสกุลเงินหนึ่ง ขายอีกสกุลหนึ่ง แล้วทำกำไรจากส่วนต่างของราคา
ตอนนี้คุณเข้าใจพื้นฐานแล้ว ลองไปดูว่าการเทรดฟอเร็กซ์ในทางปฏิบัติทำงานอย่างไรบ้าง
การเทรดฟอเร็กซ์ทำงานอย่างไร?
คุณจะทำการซื้อขายในรูปแบบ “คู่สกุลเงิน” เช่น EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ) หรือ GBP/JPY (ปอนด์อังกฤษ/เยนญี่ปุ่น)
วิธีอ่านมีดังนี้:
ถ้า EUR/USD = 1.10 หมายความว่า 1 ยูโร เท่ากับ 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น แสดงว่ายูโรแข็งค่าขึ้น
คุณจะทำกำไรได้โดยการซื้อคู่นั้น ถ้าคิดว่าราคาจะขึ้น หรือขายออก ถ้าคิดว่าราคาจะลง
ตารางด้านล่างคือประเภทของคู่สกุลเงินหลัก:
ประเภท | ตัวอย่างคู่สกุลเงิน | คำอธิบาย |
คู่สกุลเงินหลัก | EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF | ได้รับความนิยมสูงสุด มักมี USD อยู่เสมอ สภาพคล่องสูง สเปรดต่ำ |
คู่สกุลเงินรอง | EUR/GBP, AUD/NZD, GBP/JPY | ไม่มี USD อยู่ในคู่ สภาพคล่องน้อยกว่าคู่หลักเล็กน้อย แต่ยังซื้อขายได้ทั่วไป |
คู่สกุลเงินแปลกใหม่ | USD/TRY, EUR/ZAR, GBP/MXN | คู่ของสกุลเงินหลัก + สกุลเงินจากประเทศเกิดใหม่ ความเสี่ยงสูง สเปรดกว้าง |
คุณอาจสงสัยว่าทำไมคนถึงเทรดฟอเร็กซ์กันเยอะ เดี๋ยวมาดูกันต่อในหัวข้อถัดไป
ไมถึงควรเทรดฟอเร็กซ์?
ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าการเทรดฟอเร็กซ์ทำงานยังไง แล้วทำไมคนถึงเลือกเทรดตลาดนี้กัน?
นักเทรดส่วนใหญ่ชอบตลาดฟอเร็กซ์ด้วยเหตุผลเหล่านี้:
เริ่มต้นด้วยเงินน้อยก็ได้: คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะถึงจะเริ่มเทรดได้ แพลตฟอร์ม D Prime ให้คุณเริ่มเทรดได้ด้วยเงินเพียง 100 ดอลลาร์
สภาพคล่องสูง: ด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงถึงหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน คุณสามารถเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนซื้อหรือขาย
เปิดทำการตลอดเวลา: ตลาดฟอเร็กซ์เปิด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ คุณจึงสามารถเทรดได้ในเวลาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนนอนดึกหรือตื่นเช้า
มีโอกาสทำกำไร: หากคุณมีเครื่องมือและความรู้ที่เหมาะสม ก็สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อดีเหล่านี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ฟอเร็กซ์น่าตื่นเต้น เช่น ความผันผวนและเลเวอเรจ ก็สามารถนำไปสู่การขาดทุนมหาศาลได้เช่นกัน หากคุณไม่เตรียมตัวให้พร้อม
"ตลาดคือกลไกที่ถ่ายโอนเงินจากคนใจร้อนไปสู่คนใจเย็น" – Warren Buffett
ดูน่าสนใจใช่ไหม? แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรดจริง ควรรู้คำศัพท์พื้นฐานให้เข้าใจก่อน มาเริ่มกันเลย
ศัพท์สำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับฟอเร็กซ์
ก่อนที่คุณจะเริ่มทำการซื้อขาย คุณควรรู้คำศัพท์พื้นฐานในวงการเสียก่อน:
🔷 Pip - การเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กที่สุด โดยปกติคือ 0.0001 สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ หาก EUR/USD เคลื่อนไหวจาก 1.1050 ไปเป็น 1.1051 หมายถึงราคาเพิ่มขึ้น 1 pip ซึ่ง pip ใช้ในการวัดกำไรหรือขาดทุน
🔷 ขนาด Lot - ฟอเร็กซ์จะซื้อขายกันเป็นหน่วยที่เรียกว่า “ล็อต” ซึ่งหมายถึงขนาดของการซื้อขาย โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก:
🔷 เลเวอเรจในฟอเร็กซ์ - เทรดจำนวนใหญ่ด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อย ตัวอย่าง: เลเวอเรจ 1:100 หมายถึงเงิน $100 ควบคุมได้ $10,000 แม้ว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็ขยายความเสี่ยงเช่นกัน
🔷 มาร์จิ้น - เงินที่คุณต้องมีเพื่อเปิดคำสั่งซื้อขายที่ใช้เลเวอเรจ
🔷 สเปรด - ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย สเปรดยิ่งแคบยิ่งดีสำหรับเทรดเดอร์
🔷 Long vs. Short - การเปิด Long หมายถึงการซื้อคู่สกุลเงินโดยคาดว่าราคาจะขึ้น ส่วน Short หมายถึงการขายโดยคาดว่าราคาจะลง
การเข้าใจคำเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม และควบคุมการซื้อขายของคุณได้ดีขึ้น
เมื่อคุณเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานแล้ว มาดูกันว่า การเทรดฟอเร็กซ์แบบง่ายๆ มีหน้าตาอย่างไร
วิธีการเทรดฟอเร็กซ์
ลองนำทุกอย่างมารวมกันในตัวอย่างการเทรดแบบง่ายๆ:
คุณคิดว่ายูโรจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
คุณซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ราคา 1.1000 โดยใช้ไมโครลอต 1 ลอต (1,000 หน่วย)
ราคาขึ้นไปที่ 1.1050 ซึ่งเท่ากับกำไร 50 พิพ
คุณปิดออเดอร์แล้วได้กำไร $5 (50 พิพ × $0.10)
ถ้าราคาลดลง 50 พิพแทนล่ะ? คุณจะขาดทุน $5
ตัวอย่างนี้ทำให้เห็นภาพง่ายๆ ของกระบวนการพื้นฐาน แต่การเทรดจริงยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ค่าสเปรด ค่าธรรมเนียม และวินัยทางอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่การเทรดไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ราคาขยับตั้งแต่แรก? มาดูกันต่อเลย
อะไรที่ส่งผลต่อราคาฟอเร็กซ์
หากคุณต้องการเทรดอย่างมั่นใจ คุณต้องเข้าใจว่าอะไรที่ขับเคลื่อนตลาด
มีหลายปัจจัยที่สามารถส่งผลต่อมูลค่าของสกุลเงิน:
จงติดตามข่าวสาร ใช้ ปฏิทินเศรษฐกิจ เพื่อติดตามเหตุการณ์สำคัญ และรับการวิเคราะห์จากตลาดอย่างสม่ำเสมอ
และเพราะตลาดฟอเร็กซ์เปิดตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน เรื่องเวลาในการเข้าออกจึงมีความสำคัญ มาดูกันว่าช่วงเวลาไหนที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด
ช่วงเวลาเปิดตลาดฟอเร็กซ์
ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง แต่ในแต่ละช่วงเวลาจะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป:
🔷 ช่วงเอเชีย (โตเกียว) - สภาพคล่องต่ำ ราคาขยับช้ากว่า
🔷 ช่วงยุโรป (ลอนดอน) - สภาพคล่องสูง มีแนวโน้มชัดเจน
🔷 ช่วงสหรัฐ (นิวยอร์ก) - ผันผวนที่สุด และมีเวลาทับซ้อนกับลอนดอน
โดยทั่วไป การเคลื่อนไหวของราคามักเกิดขึ้นแรงที่สุดเมื่อถึงช่วงที่ ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน ซึ่งถือเป็นชั่วโมงทองของการเทรด
หากต้องการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ คุณควรรู้จักการวิเคราะห์ตลาดอย่างถูกวิธี และนั่นคือสิ่งที่เราจะไปต่อกันในหัวข้อถัดไป
การวิเคราะห์พื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิค
นักเทรดมักใช้ 2 วิธีหลักในการวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์ ได้แก่:
🔷 การวิเคราะห์พื้นฐาน - วิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจ นโยบายของธนาคารกลาง และเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา นักเทรดมักใช้ปฏิทินข่าวฟอเร็กซ์ในการติดตามเหตุการณ์สำคัญ
🔷 การวิเคราะห์ทางเทคนิค - ใช้กราฟ ตัวชี้วัด และพฤติกรรมราคาย้อนหลังเพื่อระบุแนวโน้มและโอกาสในการเข้าเทรด
หลายคนที่เพิ่งเริ่มต้นมักสงสัยว่า: วิธีไหนดีกว่ากัน?
ความจริงคือ ทั้งสองมีหน้าที่ต่างกัน:
การวิเคราะห์พื้นฐานจะช่วยตอบคำถามว่า “ทำไม” ราคาถึงเคลื่อนไหว
การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะช่วยตอบคำถามว่า “เมื่อไหร่” ควรเข้าออกตลาด
นักเทรดที่ชาญฉลาดจะไม่เลือกข้าง แต่จะใช้ทั้งสองวิธีประกอบกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของตลาดอย่างครบถ้วน
เพราะในท้ายที่สุด การวิเคราะห์ตลาดคือหัวใจสำคัญ มันคือวิธีที่คุณมองหาโอกาส จัดการความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการเทรดด้วยอารมณ์
"ความเสี่ยงเกิดจากการไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่" – Warren Buffett
จะเริ่มต้นเทรดจริงได้ยังไง? มาดูขั้นตอนต่อไปกันเลย
เริ่มต้นเทรดฟอเร็กซ์อย่างไร
ถึงเวลานำทฤษฎีมาสู่การลงมือปฏิบัติจริง
1️⃣ เลือกโบรกเกอร์ - การมีโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ออนไลน์ที่ใช่จะสร้างความแตกต่างอย่างมาก D Prime เป็นโบรกชั้นนำที่มีการกำกับดูแล ให้สเปรดแคบ การส่งคำสั่งที่รวดเร็ว และสภาพคล่องสูงสำหรับนักเทรดฟอเร็กซ์
2️⃣ เปิดบัญชีเทรด - เริ่มจากการเปิดบัญชีเดโมกับ D Prime เพื่อฝึกฝนโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
3️⃣ เรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน - ใช้เครื่องมือการเทรดขั้นสูงและแหล่งเรียนรู้ของ D Prime เพื่อพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ตลาด
4️⃣ วางแผนการเทรด - กำหนดกฎในการเข้าและออกออเดอร์ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และกลยุทธ์ โดยใช้ทรัพยากรระดับมืออาชีพจาก Doo Prime
5️⃣ บริหารความเสี่ยง - อย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงของ D Prime เพื่อให้คุณควบคุมสถานการณ์ได้
แต่หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง การเทรดก็เหมือนตั๋วเที่ยวเดียวสู่ปัญหา มาแก้ไขเรื่องนี้กันต่อเลย
พื้นฐานการบริหารความเสี่ยง
การเทรดฟอเร็กซ์ไม่ใช่เรื่องของการรวยเร็ว แต่คือการอยู่รอดในเกมระยะยาว นี่คือวิธีจัดการความเสี่ยง:
"ในการเทรด สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณคิดถูกหรือผิด แต่คือคุณได้กำไรเท่าไหร่เมื่อคุณคิดถูก และขาดทุนเท่าไหร่เมื่อคุณคิดผิด" – George Soros
แม้จะมีการควบคุมความเสี่ยงแล้ว แต่นักเทรดมือใหม่ก็ยังพลาดได้บ่อย มาดูกันว่าเราควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้างในบทถัดไป
ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักเจอ
มือใหม่มักสะดุดกับกับดักเหล่านี้ ระวังให้ดี:
มาสรุปบทเรียนสำคัญที่คุณควรนำติดตัวไว้ตลอดเส้นทางการเทรดฟอเร็กซ์กันครับ
สรุปสาระสำคัญ
ฟอเร็กซ์มอบโอกาสมากมาย แต่ไม่ใช่แผนรวยเร็ว เข้าใจพื้นฐาน การบริหารความเสี่ยง และการเคลื่อนไหวของตลาดคือกุญแจสำคัญ
เริ่มจากเล็กๆ ฝึกวินัย และอดทนกับตัวเอง
ขอให้ก้าวนี้เป็นจุดเริ่มต้นของคุณ ทีละหนึ่งพิปก็พอ
“ตลาดไม่เคยผิด มีแค่มุมมองของคนเท่านั้นที่ผิด”
— Paul Tudor Jones
คำชี้แจง
ข้อมูลที่ปรากฏในบล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุน ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอซื้อขาย หรือคำเชิญชวนให้ทำธุรกรรมทางการเงินใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลนี้ไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการลงทุนหรือสถานการณ์ทางการเงินเฉพาะของผู้อ่านแต่ละคนหรือความต้องการเฉพาะ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นคำแนะนำเฉพาะบุคคลข้อมูลผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต D Prime และบริษัทในเครือไม่รับรองความถูกต้องหรือความครบถ้วนของข้อมูลที่นำเสนอ และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการขาดทุนใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนี้หรือการตัดสินใจลงทุนที่อิงจากข้อมูลนี้
โปรดอย่าใช้เนื้อหาข้างต้นแทนการตัดสินใจโดยอิสระของคุณเอง ควรพิจารณาความเหมาะสมของข้อมูลนี้กับสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณก่อนตัดสินใจลงทุน ตลาดมีความเสี่ยง และการลงทุนควรทำด้วยความระมัดระวัง